พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
ครูบาแบ่ง วัดบ้...
ครูบาแบ่ง วัดบ้านโตนดสาริกาปากดีได้เมีย ได้ทรัพย์ครูบาแบ่ง ฐามุตฺตโมวัดโตนดจ.นครราชสีมาหมายเลข 1896
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโม
เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2496 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเส็ง หมู่บ้านโตนด ตำบลโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ชื่อเดิม นายเสมา จุ่มกลาง เป็นบุตรของนายมาก จุ่มกลาง กับ นางอ่อง จุ่มกลาง มีพี่น้องชายหญิงรวมกัน 7 คน โดยท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ด้วยความที่ครอบครัวของท่านเป็นแพทย์แผนโบราณและเป็นหมออาคมไสยเวทย์ ที่ถ่ายทอดวิชาสืบต่อกันมาแต่ครั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย ทำการรักษาผู้คนในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียงที่เจ็บป่วย
อายุได้ 12 ปี เรียนจบระดับประถมต้นจากโรงเรียนวัดบ้านโตนด จากนั้นท่านได้เริ่มศึกษาสรรพวิชาแพทย์แผนโบราณการรักษาโรคภัยด้วยยาหม้อและสมุนไพรต่างๆ ท่านมีโอกาสได้ศึกษาอ่านเขียนอักขระขอมตามหลักคัมภีร์โบราณ และได้รับการถ่ายทอดเวทย์มนต์คาถามหาบทต่างๆ จากนายมากผู้เป็นบิดา และรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ทางการแพทย์แผนโบราณ
อายุ 14 ปี สามารถรักษาชาวบ้านให้หายจากอาการเจ็บป่วยได้ บิดาจึงไว้วางใจให้ช่วยรักษาชาวบ้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น หมอน้อย ได้รับการนับถือจากชาวบ้านโตนดตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุย่างเข้าวัยหนุ่มชีวิตในวัยนี้ของท่านได้พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เมื่อในหมู่บ้านโตนดของท่านมีชีปะขาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ผิดจากคนธรรมดา เดินธุดงค์จาริกแสวงบุญมาปักกลดอยู่ที่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน สอบถามได้ความว่าท่านเดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งประเทศลาว มีอาศรมถิ่นที่พำนักอยู่ภูเขาควาย ดินแดนที่มีความลี้ลับอาถรรพ์ เป็นป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยถ้ำและหุบเขาสูงชันที่ทอดตัวอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว ที่ภูเขาควายแห่งนี้ คือ สถานที่ที่พระเกจิอาจารย์ของไทยหลายรูปได้ธุดงค์ไปถึงมาแล้ว และที่ภูเขาควายแห่งนี้ก็เป็นตักศิลาวิชาอาคมไสยเวทย์ของชีปะขาวผู้นี้ ท่านมีชื่อว่า “ครูบาสีหราช”ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมสาย พลต้อง เณรคำ และ ท่านหมอเทพจากสายสำเร็จลุนซึ่งเป็นพระเกจิระดับปรมาจารย์ของประเทศลาว เมื่อท่านทราบดังนี้จึงเกิดความเลื่อมใส ท่านจึงได้ฝากตัวขอเป็นศิษย์ ออกติดตามรับใช้ครูบาสีหราชในระหว่างที่เดินธุดงค์ในไทย ทั้งๆ ที่ท่านยังเป็นเพศฆราวาส จากนั้นก็เดินทางข้ามฝั่งไทยไปจนถึงอาศรมที่พำนักภูเขาควาย ท่านได้คอยรับใช้และได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากครูบาสีหราชจนสำเร็จในระดับหนึ่ง ท่านจึงกราบลาครูบาสีหราชเพื่อเดินทางกลับมายังบ้านโตนดอีกครั้ง
พ.ศ. 2521 มีอายุได้ 25 ปี ถึงเกณฑ์บวชเรียนศึกษาพระธรรม ท่านได้กราบลาอุปสมบทที่วัดบ้านโตนด โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูวัชรญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดด่านทองหลาง เจ้าคณะอำเภอโนนสูงในขณะนั้น ครูบาแบ่งท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า ฐานุตฺตโม ซึ่งมีความหมายว่า ผู้มีฐานะอันอุดม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัตถุมงคล รุ่น โภคทรัพย์ เมื่อครูบาแบ่งบวชได้ 4 เดือน หลังจากออกพรรษาในปีนั้น ท่านได้ปลีกวิเวกเริ่มออกเดินธุดงค์โดยทันที ด้วยความมีมานะเป็นมุ่งมั่นและมีจิตใจที่แน่แน่ว ประกอบกับเป็นผู้มีวิชาอาคมติดตัว หลังจากที่ท่านได้ออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆเป็นเวลา 1 ปี ท่านมีโอกาสได้พบกับครูบาสีหราชที่อาศรมภูเขาควายอีกครั้งหนึ่ง จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจนสำเร็จถึงขั้นสูงสุด จากนั้นท่านได้เดินธุดงค์ข้ามฝั่งลาวกลับมายังวัดโตนดอีกครั้ง
พ.ศ. 2523 ครูบาสีหราชได้ละสังขาร ท่านจึงเดินทางกลับไปยังภูเขาควายและอยู่จัดการศพจนเรียบร้อย ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ท่านเสียใจมากจนต้องลาสิกขาบทกลับมาเป็นฆราวาส จากนั้นท่านได้เดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อค้นหาสัจจะธรรมบางสิ่งให้กับตัวเอง
พ.ศ. 2536 ท่านได้รับข่าวบิดาล้มป่วยด้วยอาการอัมพฤกษ์ ท่านได้ทำการรักษาโดยใช้วิชาความรู้ที่มีแต่ก็ไม่สามารถรักษาบิดาให้หายได้ ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอบวชแก้บนให้บิดาโดยตั้งใจจะบวชเป็นเวลา 15 วัน แต่ในระหว่างที่บวชแก้บนอยู่นี้ ท่านได้เห็นความเจ็บป่วยของบิดา เห็นการเจ็บป่วยล้มตายของชาวบ้าน และเห็นความทุกข์ยากลำบากของชาวบ้าน ทำให้ท่านได้มีโอกาสได้เข้าใจถึงหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเกิดคิดเปลี่ยนใจขออยู่ในร่มกาสาวพักตร์ต่อไป เพื่อคอยช่วยเหลือญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ให้ได้นำหลักธรรมมาใช้ในการนำพาชีวิตให้กลับมาดีขึ้นได้ ท่านได้รับการเรียกขานชาวบ้านและลูกศิษย์ว่า ครูบาแบ่ง ด้วยเพราะความใจดี เมื่อชาวบ้านขออะไรท่านก็ให้โดยไม่หวงหรือยึดติด จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ตามป่าเขาในประเทศไทยเรื่อยมา และได้มีโอกาสจำพรรษาร่วมกับศิษย์ผู้น้อง คือ ครูบากฤษณะ อินทวัณโณ ซึ่งเป็นศิษย์ของครูบาสีหราชอีกผู้หนึ่ง
พ.ศ. 2544 ท่านจึงได้ยุติการออกเดินธุดงค์และจำพรรษาอยู่ที่วัดโตนดตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ. 2550 ท่านได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็น“พระครูสังฆรักษ์เสมา”
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโมท่านมีลักษณะของมหาบุรุษ มีอัธยาศัย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลักษณะ รูป กาย สมส่วนมีความเมตตาปราณีไม่ถือชั้นวรรณะ ต้อนรับผู้คนที่มาหาโดยไม่เลือกว่าเศรษฐียากดีมีจน ว่ากันว่าบุคคลใดต้องการกลับใจเป็นคนดี หากได้สนทนากับท่านแล้วจะเปลี่ยนนิสัยกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กิจวัตรประจำวันของท่าน หลังจากฉันเช้าแล้วประกอบกิจของสงฆ์จนถึงเวลาฉันเพลจากนั้นท่านจะออกรับลูกศิษย์จำนวนมากที่เดินทางมาไกลๆทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโม ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากครูบาอาจารย์ต้นตำหรับเทพสาลิกาอันโด่งดังและมากด้วยประสบการณ์ ด้วยท่านเป็นผู้เคร่งครัดในคำสอนของครูบาอาจารย์ และยึดมั่นในคำสอนรวมถึงต้องการสืบทอดวิชาการสร้างเทพสาลิกาแบบดั้งเดิมไว้มิให้สูญหาย วัตถุมงคลของท่านสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีผู้ใดเหมือน ด้วยชนวนมวลสารที่ท่านนำมาสร้างเทพสาลิกา แต่ละอย่างล้วนแต่เป็นของมงคลหายาก รวมถึงอักขระภาษา ฑิเบตโบราณ ที่ได้ร่ำเรียนสั่งสมมา ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นแต่ละครั้งมวลสารไม่เหมือนกัน มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว ด้วยเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เทพสาลิกาของท่านมีพุทธคุณด้านเรียกเงินเรียกทอง เรียกคนให้มารักมาหลง ค้าขายดีเป็นเลิศ หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าแคล้วคลาดปลอดภัยเปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก ขอสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จทุกประการ
การสร้างเทพสาริกา ตามตำราโบราณนั้น มีรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงเป็นที่มาของการสะสมและค้นหาสิ่งของมงคลที่หายาก เพื่อนำมาประกอบเป็นมวลสารสำหรับการสร้างเทพสาลิกาแต่ละครั้งออกมามีจำนวนไม่มากนัก ตามจำนวนมวลสารที่หามาได้ จึงมีคุณค่าในการครอบครองเพื่อการบูชาสักการะ
เมื่อประมาณต้นปี 2538 คณะครูบาแบ่ง ประกอบด้วยพระลูกศิษย์อีก 4 รูปได้ออกจาริกธุดงค์ไปยังเทือกเขาเพชรบูรณ์ เพราะทราบจากพระเกจิธุดงค์รูปหนึ่งว่ามีของวิเศษอยู่ที่ ถ้ำพญานาค ตั้งอยู่ในเขต อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในอดีตนั้น "ถ้ำพญานาค" นี้เป็นที่บำเพ็ญศีลภาวนากรรมฐานของพระป่าสายกรรมฐาน ได้มาสำเร็จที่ถ้ำแห่งนี้หลายรูป เท่าที่ทราบก็มี หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ผาง และรูปสุดท้ายคือ พระอาจารย์ทองใบ แต่ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด มีเลือดออกทางจมูกและหู แต่ก็สำเร็จมาได้
นับจากนั้นมาก็ไม่ปรากฏว่ามีพระเกจิรูปใดกล้าไปที่นั้นอีก ว่ากันว่ามีอาถรรพ์ของ พญานาค ผู้ทรงฤทธิ์สถิตอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ และเจ้าป่าเจ้าเขาก็แรงมาก อีกทั้งสัตว์ป่าอันตรายและโขลงช้างป่าที่ดุเอาการอยู่ คณะของครูบาแบ่งได้ธุดงค์เข้าป่าลึกมุ่งสู่ถ้ำพญานาคตามลายแทงที่พระธุดงค์มอบให้ไว้ ในเขตป่าแห่งนี้เป็นป่าทึบอากาศหนาวเย็นมากตลอดทั้งปี
เมื่อไปถึงปากถ้ำแล้วจึงปักกลดธุดงค์ โดยแยกกันตั้งห่างกันพอสมควร เพื่อสงบเหมาะแก่การภาวนากรรมฐาน ในกลุ่มถ้ำพญานาคนี้ จะมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอยู่ลดหลั่นกันไปถึง 5 ถ้ำมีชื่อเรียกต่างกันไป ครูบาแบ่งท่านจะปักกลดอยู่ปากถ้ำใหญ่ที่อยู่บนสุดที่ชื่อว่า "ถ้ำพญานาค"
คืนนั้นเป็นคืนที่มืดสนิทมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีดำทมึนของราตรีกาล ในป่าเสียงหรีดหริ่งเรไรได้สงบลงเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจเท่านั้น คืนนั้นท่านก็ถูกลองดีซะแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่ามาทดสอบ ขณะที่ท่านเจริญภาวนาเข้าสมาธิดีแล้ว ประมาณสักสี่ทุ่มเศษเห็นจะได้ พลันท่านก็รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่างเป็นดวงไฟเจิดจ้าค่อยๆ ลอยเข้ามาหาท่าน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่าน ดวงไฟใหญ่จนเต็มไปหมดในดวงไฟนั้น กลับปรากฏว่าเป็นในหน้าของคนที่ท่าทางดุมาก ผิวดำดวงตาแดงราวกับไฟ แต่มีเฉพาะในหน้าเท่านั้นไม่มีตัวตน นิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ใหญ่
ครูบาเองไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใดเพราะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าที่นี่มีอาถรรพ์แรงจึงพร้อมรับ ท่านได้กำหนดจิตถามไปว่า “ท่านเป็นใคร ต้องการสิ่งใด”ทันใดนั้นก็ปรากฏว่าแสงสว่างวาบขึ้นจนจ้าไปหมด พลันครูบาท่านก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงพระลูกศิษย์เรียกตะโกนมาว่า ”ครูบาๆๆ นิมนต์ลงมาฉันได้แล้วครับ”
ไม่น่าเชื่อว่าจะเช้าแล้วเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อครู่นี้เอง ท่านว่าหากเดินทางมารูปเดียวตามลำพังอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่ด้วยบุญบารมีของท่านจึงรอดมาได้ แสดงว่าเจ้าป่าเขาเปิดทางให้แล้ว เมื่อฉันเสร็จแล้วจึงทำพิธีบัดพลีขอ "แป้งลูกสาวพญานาค" วิเศษนั้นกับเทวดาอารักษ์และพญานาคทั้งหลาย เพื่อนำไปสร้างวัตถุมงคลให้ผู้คนได้บูชาได้ช่วยเหลือผู้ยากได้พ้นจากกองทุกข์
แล้วจึงพากันเข้าสำรวจถ้ำ ข้างในถ้ำอากาศเย็นมากยังกับติดแอร์ราวสามสิบตัว โพรงถ้ำสะอาดมากพื้นถ้ำก็ราบเรียบ มีหินงอกหินย้อยกระทบแสงไฟระยิบระยับสวยงามมาก มีลำธารน้ำไหลภายในถ้ำใสมากไม่ทราบไหลมาจากที่ใด มีความเย็นราวกับน้ำแข็งเหยียบเท้าลงไปสะดุ้งวาบ ว่ากันว่าตลอด 3 วันที่ไปกันไม่มีใครสรงน้ำที่นั้นเลย ยกเว้นครูบาแบ่งท่านเดียวที่กล้าเข้ามาสรงน้ำในลำธารในถ้ำ
ท่านว่าถ้าลองแช่เท้าในน้ำกลั้นใจสักพักน้ำ ก็จะอุ่นเองสามารถสรงได้อย่างสบาย มีความสดชื่นอย่างประหลาด หายปวดเมื่อยทั้งร่างกายคงเป็นน้ำทิพย์ของ
พญานาค ใครได้อาบดื่มกินจะช่วยให้มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น สุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นมงคลต่อชีวิตอย่างยิ่ง วันแรกยังไม่พบอะไร คืนที่สองก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก
วันที่ 3 พอเข้าไปในถ้ำอีกสักครู่ก็พบโพรงลึกลงไปในพื้นถ้ำโตขนาดถังน้ำมันสองร้อยลิตร มีลมพัดสวนขึ้นมาแผ่วๆ หลวงพี่อำนวยจึงอาสาเป็นผู้กล้ามุดลงไปผูกสบงเป็นโจงกระเบนเตรียมไฟและถุงกับย่ามค่อยไต่โรยตัวลงไป พบว่าด้านล่างเป็นห้องโถงใหญ่มีหลายห้องลึกยาวเข้าไป สภาพสะอาดกว่าข้างบนซะอีก มีธารน้ำและหาดทรายด้วย แต่ทว่าทรายนั้นเป็นสีดำ นี่คือทรายที่พญานาคก่อนจะเข้าถ้ำจะคลายพิษทิ้งไว้
เมื่อเดินเข้าไปอีกก็พบรูปหินคล้ายลำตัวพญานาคทอดยาวไปขนาดใหญ่สูงกว่าตัวคน มีหัวอ้าปากมีเขี้ยวมีหงอนคล้ายพญานาคแกะสลักยังไงก็ยังงั้น แต่ช่วงกลางลำตัวและส่วนหางจนหายไปในผนังถ้ำ ตามละตัวมีเกล็ดเป็นหินแก้วขนาดใหญ่เรียงซ้อนคล้ายกับเกล็ดงูแกะสลักไว้ กระทบแสงสะท้อนแวววาวยังกับกระจกหลากสีสวยงามมาก อย่างนี้นี่เองที่พระเกจิในอดีตท่านขนานนามไว้ว่า ”ถ้ำพญานาค”
บริเวณใกล้กันเป็นห้องโถงมีแท่นคล้ายเตียงนอนขนาดใหญ่ มีหินงอกย้อยลงมาคล้ายม่าน ใกล้ๆ กันมีบ่อเป็นหลุมขนาดครกตำข้าวในหลุมนั้น มีแป้งฝุ่นละเอียดอ่อนสีขาวนวล มีกลิ่นหอม นี่เองที่เขาเรียกว่า “แป้งลูกสาวพญานาค”
หลวงพี่อำนวยจึงรีบโกยแป้งนั้นใส่ถุงจนหมด และรีบกลับออกมาโกยเอาทรายดำใส่ถุงและรีบปีนขึ้นมา
เมื่อกลับมาถึงข้างบนปรากฏว่า "ทรายดำ" นั้นกลายเป็นฝุ่นสีดำปนเหลืองคล้ายขี้มอด หลวงพี่อำนวยกลับโมโหใหญ่รีบคว้าคลานมุดลงไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พบรอยเลื้อยของงูใหญ่อยู่บนหาดทรายและพื้นดินเลน เอามือลูบดูเป็นเมือกรื่นๆ ดมดูมีกลิ่นคาว และมีเกล็ดงูขนาดใหญ่กระทบแสงแวววาวหล่นอยู่ตามรอยเลื้อยนั้น หลวงพี่อำนวยตกใจมากจึงเอามือรูดๆ รีบเก็บเอาเกล็ดนั้นมา แล้วเข้าไปใช้ขวานถากเกล็ดแก้วพญานาคที่หินรูปพญานาคนั้นทันที ครั้งแรกถากไปตามเกล็ดขวานกลับเด้งขึ้นไม่ระคายผิวเลย จึงลองกลั้นใจใหม่ถากย้อนเกล็ด ปรากฏว่าแผ่นแก้ว "เกล็ดพญานาค" หินนั้นหลุดออกมาทันที แล้วจึงรีบเก็บโกยเข้าถุงรีบปีนกลับขึ้นมาอย่างเร่งรีบ เนื้อตัวเปียกปอนสบงที่สวมขาดวิ่น เนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ท่านว่าใช้เวลาลงไปแค่อึดใจเท่านั้นแต่เหมือนกับนานมาก เพราะมีความกลัว
ครูบาบอกว่าโชคดีแล้ว ถ้าช้ากว่านี้หรือครั้งแรกลงไปนานเกิน อาจจะพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะตายก็ได้ จากนั้นก็รีบถอนกลดธุดงค์เดินทางกลับทันที เมื่อกลับมาถึงวัดหลวงพี่อำนวยป่วยไปถึงสามเดือน รักษาอยู่นานอาการจึงเป็นปกติ
แต่ก็คุ้มที่ได้ "แป้งลูกสาวพญานาค" มาแถมด้วย "เกล็ดพญานาค" และ "เพชรพญานาค" (ถากมาจากรูปหินพญานาค) เป็นแก้วขาวมีทั้งใสและขุ่น
มีความแววาวสวยงามมากไม่เหมือนอัญมณีใดๆ บนโลกนี้เลย เกล็ดพญานาค นั้นเป็นของวิเศษสามารถส่งเสริมดวงชะตาบารมี ป้องกันเภทภัยต่างๆป้องกันภูตผีปิศาจของเสนียดจัญไร ป้องกันคุณไสยต่างๆได้เป็นอย่างดี และเสริมการอธิษฐานให้แรงยิ่งขึ้น รวมถึงมวลสารต่างๆที่นำมาผสมจากที่ต่างๆนำมาจัดเป็นวัตถุมงคลประกอบด้วย
แป้งเมืองลับแล เมื่อช่วงปี 2539 ครูบาแบ่ง ได้ไปปักกลดธุดงค์อยู่บนภูผาช่องลม ริมแม่น้ำมูล อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งมีหน้าผาสูง และป่ารกทึบ คืนแรกไม่มีเหตุการณ์อะไร พอคืนที่2 ขณะที่ครูบาแบ่งตั้งจิตเข้าสมาธิดีแล้ว เกิดนิมิตเห็นกลุ่มคน ทั้งชายหญิง เดินหายเข้าไปในแนวผาเชิงเขาแถบนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอคืนที่3 ก็นิมิตเห็นกลุ่มคน เดินเข้าออกที่เชิงผาที่เดิมอีก เมื่อคลายจิตแล้วจึงคิดว่าคงไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ เขาคงมีอะไรบอกเราสักอย่าง รุ่งเช้าแล้ว เมื่อได้เวลาครูบาท่านจึงลองสำรวจดูแถวนั้น ก็พบเชิงผาตามนิมิต ใช้มือลูบคลำดูเรื่อยๆ จึงพบจุดหนึ่งผิดสังเกต จึงกลั้นใจว่าคาถา และตบฝ่ามือไปที่นั้น ก็ปรากฏว่าแผ่นหินวงกลมขนาดจานครอบใบใหญ่ หลุดเข้าไปเหมือนฝามาปิดไว้ ข้างในเป็นโพรงตื้นๆ มีกลิ่นหอมประหลาดโชยออกมา ส่องดูพบว่า เป็นฝุ่นแป้งสีเหลืองอ่อน ดังสีผงขมิ้น จึงอธิฐานขอเจ้าของผู้อารักขา โกยแป้งฝุ่นนั้นมาจนหมด ท่านเรียกว่า “แป้งเมืองลับแล”มวลสารลี้ลับที่ยากจะหาพบได้ในแดนสยามมีของจริง ไม่ใช่เรื่องตำนานที่เล่าขานต่อกันมาเท่านั้น นับเป็นเรื่องแปลกอีกว่าทุกๆ ปีที่ต้องการทำวัตถุมงคล ท่านก็จะกลับไปที่ผานั้นอีก เปิดฝาหิน พบแป้งเมืองลับแลเต็มอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ครั้งก่อนได้นำไปหมดแล้ว ได้ติดต่อกันอย่างนี้ถึงปีที่ 5 โพรงหินดังกล่าวก็ปิดไม่สามารถหาตำแหน่งเปิดฝาหินนั้นได้อีก เรื่องมีอยู่ว่าในปีที่ 5 นั้น ครูบา ท่านใช้ลูกศิษย์ให้ไปเอามาแทน ด้วยเป็นพระหนุ่ม กำลังคึกคะนอง พากันไปหลายรูป ใครๆ ก็อยากเห็น ใครๆ ก็อยากได้ แต่เมื่อได้ของมาแล้ว ทำผิดแบบไหนไม่ทราบ ฝาหินปิดสนิทหาตำแหน่งไม่พบ เทพผู้รักษาจึงไม่อนุญาตให้มาอีกต่อไปเลย แป้งเมืองลับแลนี้มีอิทธิคุณด้านมหานิยม และมหาลาภเป็นอย่างยิ่ง
ว่านผมผีพราย หรือ หนวดพราหมณ์ (มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัย)
เป็นว่านอาถรรพ์มีลักษณะเป็นเส้นสีดำกับสีน้ำตาลเข้มเหมือนเส้นผมคน แต่เส้นใหญ่และหยาบกว่า ขึ้นอยู่ตามป่าลึก ไม่มีลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ แต่จะพันอยู่กับกิ่งไม้จากต้นอื่นๆ และห้อยย้อยลงมา มีภูติที่สูงด้วยอิทธิฤทธิ์เฝ้ารักษาอยู่ ยามค่ำคืนจะเห็นเป็นดวงไฟลอยวูบวาบอยู่บริเวณชุมว่าน ต้องผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้นจึงจะเข้าไปเอามาได้ มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัยได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้น ไม่สามารถนำมาปลูกเพาะพันธุ์ได้
ว่านสาวหลงตัวเมีย (ต้นเขียว) เพราะว่านสาวหลงมีทั้งชนิดต้นแดง (ตัวผู้) และต้นเขียว(ตัวเมีย) ชนิดต้นเขียวจะมีขนาดใหญ่กว่า หอมกว่า หายากกว่า และนิยมใช้กันมากกว่าชนิดต้นแดง ซึ่งต่างกับว่านชนิดอื่นๆ แทบทุกชนิดที่จะนิยมใช้แต่ต้นแดง(ตัวผู้)มากกว่าต้นเขียว ว่านสาวหลงนี้ตำราระบุว่าให้ปลูกได้เฉพาะวันจันทร์เพียงวันเดียวเท่านั้น ว่านสาวหลง : สมัยโบราณกล่าวว่า ว่านนี้ผู้ทรงวิทยาคุณหวงแหนและปิดบังยิ่งนัก จัดอยู่ในประเภทเมตตามหานิยมสูง บ้านเรือนใดมีไว้จะเป็นศิริมงคลแก่บ้านเรือนที่อาศัยนั้น ยิ่งถ้าเป็นร้านค้าขายจะทำให้ทำมาค้าขายซื้อง่ายขายคล่อง เป็นเสน่ห์มหานิยมแก่ผู้เป็นเจ้าของ บรมครูท่านแนะนำไว้เวลารดน้ำให้เสกด้วยคาถา “อิติปิโสภะคะวา” 3 จบ ว่านนี้ปลูกได้วันเดียวคือ วันจันทร์ข้างขึ้น
แป้งอิทธิเจ เป็นแป้งวิเศษ มาจากถ้ำแถบจังหวัดชุมพรต้องมุดลงไปในถ้ำลึก ลักษณะสีเหลืองนวลเป็นประกาย ก้อนๆ มีความเปียกชื้น คล้ายดินน้ำมัน สามารถปั้นเป็นรูปร่างได้ จับมีความเย็นชื้น พระธุดงค์รูปหนึ่งนำมาถวาย นับว่าเป็นของวิเศษชั้นยอด ท่านว่าเป็นของพระเกจิในอดีตโบราณ ผู้เรื่องอาคม ได้ปลุกเสกเก็บซ่อนไว้ในถ้ำ รอเวลาคู่บุญนำไปทำพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆ
แร่ไหลเพชรดำ แร่ไหลเพชรดำนี้ มีผู้ขุดพบได้มาจากกรุวัดซุ้มกอ จ.กำแพงเพชร นำมาถวายให้เจ้าคณะอำเภอเมืองกำแพงเพชร และท่านก็ได้ถวายครูบาแบ่ง วัดบ้านโตนด มาอีกทีหนึ่ง เป็นตำนานหนึ่งที่เล่าสืบทอดกันมาถึงความมหัศจรรย์และมีอิทธิบันดาลให้เกิดโชคลาภร่ำรวยแก่ผู้ครอบครองได้อย่างเหลือเชื่อเหมือนพลิกฝ่ามือ ขอทานจะได้เป็นเศรษฐี สามัญชนจะได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เศรษฐีจะกลายเป็นคหบดีมหาเศรษฐี ขุนนางจะได้เป็นนายชนชั้นปกครองที่สูงส่ง ครูบาแบ่งท่านได้มาก้อนใหญ่เท่าหัวคน ถ้าเอามือลูบดูจะมีเศษเขม่าเหล็กสีดำยังกับถ่านแต่มีประกายแวววับติดมือมา เอากลักไม้ขีดไปทาบกับก้อนแร่สักพักนำมาจุด ไม่สามารถจุดติดไฟได้ทั้งกล่อง ครูบาแบ่งท่านนำมาเป็นส่วนผสมหลักวัตถุมงคล รูปเทพสาลิกา รูปพญานาค และกุมาร โดยบดคลุกเคล้าไปกับเนื้อผง เพื่อเน้นวัตถุมงคลให้มีอิทธิฤทธิ์ด้านโชคลาภ มีปรากฏการณ์ประหลาด วันดีคืนดีแร่ไหลเพชรดำนี้จะผุดลอยขึ้นเหนือผิวพระ ลักษณะเป็นเกล็ดแก้วบางใส่เล็กมากๆ ส่องแสงแวววาวจนเต็มคลุมผิวไปหมด จะขึ้นเป็นบางองค์ของบางคน ยิ่งใครดวงดียิ่งขึ้นเยอะหากแร่ไหลเพชรดำลอยขึ้นเหลือผิวสาริกาเมื่อไร ขออะไรมักจะไม่พลาด เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก
ไม้งิ้วดำกลายเป็นหินเพชร นับว่าเป็นของวิเศษสุดยอดหนึ่งเดียวในปฐพี มหัศจรรย์ ครูบาแบ่งท่านเล่าว่า ได้รับตกทอดมาจากอาจารย์ มีอายุหลานร้อยล้านปีมีลักษณะไม้งิ้วดำกลายเป็นหินมีเสี้ยนลายไม้ชัดเจน ก้อนสีดำคล้ายคาร์บอนถ่านหิน แต่เป็นที่ประหลาดว่าคาร์บอนนั้นตกเป็นผลึกกลายเป็นเพชรเกาะเต็มไปหมด มีทั้งผลึกเล็กใหญ่ลดหลั่นกันไปยามต้องแสงอาทิตย์หรือแสงไฟจะส่องแสงแวววาวระยิบระยับประกายส่องแสงแวววาวหลายสี เหมือนสีรุ้งสวยงามราวกับเพชร มีอานุภาพครอบจักรวาลและส่งเสริมชะตาผู้ครอบครองให้รุ่งโรจน์ เมื่อนำมาผสมโรยบนผงวัตถุมงคลมีปริมาณน้อย เน้นเฉพาะพิมพ์พิเศษ เช่น ขุนแผนแสนเสน่ห์ปี 2538 เทพสาลิกาเดี่ยวจัมโบ้บางพิมพ์ เทพสาลิกาเนื้อดำมหาเสน่ห์หลังตะกรุดทองคำฝังพลอยหินล้านปี ซึ่งสร้างเพียง 10 องค์
ไม้แยงแย้ หรือ ไม้แหย่แย้ เป็นว่านทางด้านโชคลาภและมหาละลวย เชื่อกันว่าหากใครพกติดตัวเมื่อพูดแล้วจะทำ ให้คนรักคนหลง น่าเชื่อถือ ดึงดูดและสะกดใจคนอย่างได้ผลนัก คล้ายกับมหาเสน่ห์หรือสาลิกาลิ้นทอง ว่ากันว่าว่านชนิดนี้สามารถนำไปปรุงเป็นน้ำมันตาทิพย์ได้เมื่อนำไม้แยงแย้นี้ไปแหย่รูแย้รูงู พวกแย้พวกงูจะคลานออกมาและอ่อนละทวยให้เราจับแต่โดยดี ในปัจจุบันผู้จัดสร้างวัตถุมงคลนิยมนำไม้แหย่แย้มาบดเป็นผงเป็นมวลสารในการจัดสร้าง หรือนำไม้แหย่แย้มาทำเป็นเครื่องรางของขลัง รวมถึงนำต้นที่เป็นเถาสั้นมาสวดคาถากำกับให้เกิดความเป็นมงคล
แป้งนางผมหอม ได้มาจากถ้ำนางผมหอม บริเวณเทือกเขาบ้านผาเมือง เมืองบ่อลิคัน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ลักษณะเป็นแป้งฝุ่นสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โดยมีพระธุดงค์รูปหนึ่งนำมาถวาย เป็นแป้งวิเศษมีอิทธิคุณด้านมหาเสน่ห์
ผงยะลา ได้มาจากถ้ำในจังหวัดยะลา ภาคใต้ อยู่ในถ้ำลึกและอับชื้น แต่ช่วงหนึ่งในถ้ำกลับเป็นห้องโถงสะอาดสะอ้าน มีอากาศถ่ายเทสบายมีกลิ่นหอมเหมือนธูปกำยาน และพบผงชนิดนี้เป็นผงฝุ่นละเอียดอ่อนมีขาวหม่นมีฝุ่นดำปะปนอยู่ เมื่อนำมาผสมวัตถุมงคลและทำให้มีกลิ่นหอมใครได้กลิ่นมักหลงใหลเป็นเสน่ห์แก่ผู้ครอบครอง
ว่านสาวหลง ทรงคุณค่าในทางเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างสูงสุด ถือกันว่าเป็นสุดยอดของว่านทางเสน่ห์มหานิยม ท่านให้เอารากของว่านนี้มาฝนหรือบดผสมกับสีผึ้ง หรือแช่น้ำมันจันทน์ หรือเพียงแต่เอารากของว่านนี้ถือติดตัวไป ผู้คนทั้งปวงก็จะพากันงวยงงหลงรักใคร่ในผู้ที่มีว่านหรือทาน้ำมันหรือสีผึ้งที่เข้าว่านจนหมดสิ้น เมื่อจะใช้ ว่านสาวหลง ท่านให้เสกด้วยพระคาถา "มะอะอุ พุทธะสังมิ จิเรรุนิ นะชาลิติ ปิยังมะมะ" ทุกครั้งไป
ว่านดอกไม้ทอง
โบราณกล่าวไว้ว่ามีอยู่ 9 ชนิดแต่ปรากฏในโลกมนุษย์เพียง7 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ที่เมือง ลับแลเมืองของผู้ทรงศีล อีกชนิดหนึ่งอยู่ที่นางไม้เฝ้ารักษาไว้ ว่านชนิดนี้ขึ้นเป็นกระจุกอยู่ในป่าลึกแถบเทือกเขาจังหวัดเลย จัดเป็นยอดว่านมหาเสน่ห์ขั้นสูงมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย หัวว่ามีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชายหญิง มีกลิ่นหอมประหลาดเมื่อใครได้กลิ่นจะมีความกำหนัด เวลาไปหาว่านต้องมีผ้าปิดจมูก เนื่องจากมีอำนาจในทางเพศรุนแรงมาก ใช้ได้ทั้งราก หัว ต้น ใบ และดอก แม้แต่น้ำที่รดต้นว่าน ถ้าใครได้สัมผัส โดยเฉพาะเพศหญิง จะเกิดอาการทางเพศรุนแรงมาก ถ้านำหัว ต้น หรือใบ ใส่ลงในภาชนะที่บรรจุน้ำ เช่น โอ่ง บ่อน้ำ ผู้ใดกินเข้าไปจะมีความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง หลงงมงายอยู่ในกามโลก หากใครได้กลิ่นหอมของว่านชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จะพากันมัวเมาอยู่ในโลกีย์มิได้สร่างซา จึงนิยมเด็ดดอกแล้วนำไปแช่น้ำมันเก็บไว้ใช้เป็นยาเสน่ห์ หากปลูกไว้ตามบ้านร้านค้า เรือค้า ห้างร้าน บริษัทต่างๆ สถานเริงรมย์ หรือแหล่งสำราญตามบาร์ ตามไนท์คลับ ย่อมเป็นมหาเสน่ห์เมตตามหานิยม มีผู้คนไปอุดหนุนจุนเจืออยู่มิขาด หากได้ปลูกคู่กับว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวผู้ยิ่งวิเศษนักเพราะว่านคู่กัน และมีสรรพคุณเหมือนกันทั้งสองชนิด ซึ่งโบราณท่านว่าถ้าเป็นผู้ชายให้ปลูกว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวเมีย ผู้หญิงให้ปลูกว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวผู้หากใช้ทำเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้นำหัวว่านที่แก่เต็มที่ หรือช่อดอกมาบดเป็นผง แช่น้ำมันจันทน์ แล้วเสกด้วยคาถา "จันโทอะภิกันตะโร ปิติปิโยเทวะมนุสานัง อิตถีโย ปริโส มะอะอุ อิสวาสุ อิกะวิติ" 108 จบ ใช้แต้มตามตัวจะให้ผลวิเศษนัก
นกสาริกา
นกสาริกา แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะ กำลังจะสูญพันธุ์ ในประเทศไทยถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนก
นกสาริกา เป็นนกในวงศ์ตระกูลนกเอี้ยงและนกกิ้งโครง ลำตัว หัว คอ ปากและขอบตาสีสด สะดุดตา มีเสียงร้องไพเราะ เวลากู่หาคู่เป็นจังหวะจะโคน ปกติอยู่เป็นคู่ อาศัยอยู่ในป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบ และป่าดงดิบ เวลาบินจะกระพือปีกสั้นๆ สลับกับร่อนไปเป็นระยะไกล มองเห็นหางยาวแพนดูพลิ้วไปตามกระแสลมสวยงามมาก พร้อมส่งเสียงร้อง“แก๊ก-แก๊ก แก๊ก-แก๊ก” ไปเรื่อยๆ ชอบบินตามกันไปเป็นคู่หรือเรียงกันเป็นแถว ทั้งพ่อนกและแม่นกช่วยกันสร้างรังและเลี้ยงลูกอ่อนด้วยกัน แม่นกทำหน้าที่กกไข่ หากมีศัตรูเข้ามาใกล้รัง จะเข้าจิกตีเพื่อปกป้องลูก
สมัยโบราณกาล ได้นำ "สาริกา" เป็นเครื่องรางของขลัง มีผู้คนนิยมด้วยความเชื่อความศรัทธาว่ามีคุณในด้านเมตตามหานิยม เป็นวิชาที่มีอาถรรพ์มากมายพอสมควรมุ่งไปในด้านเมตตามหานิยมในการค้าขาย ในการเจรจาพาที ให้เป็นที่รักของผู้คน
สาริกาลิ้นทอง ใช้การลงอักขระที่ปลายลิ้น ใช้แต่เพียงการลงเปล่าๆ ไม่ต้องมีการลงหมึกแบบสักยันต์ จากนั้นก็ให้ลงคาถากำกับ
สีผึ้งสาริกา ใช้การหุงขี้ผึ้งด้วยน้ำมันหอมกับขี้ผึ้งที่ปลุกเสกด้วยคาถาทางเมตตามหานิยม แล้วใช้สีปาก โดยนำขี้ผึ้งบริสุทธิ์มากวนผสมกับเครื่องหอม และวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ บางพระเกจิอาจารย์ที่อาคมแก่กล้าท่านไม่ได้ใช้ไฟในการกวน หากแต่เพ่งกสิณเตโชทิพย์จนขี้ผึ้งละลายผสมกับส่วนผสมต่างๆ
สาริกาหลงรัง โดยการใช้ไม้แกะหรือผงปั้นเป็นรูปนกสาริกาหรือใช้งาช้างแกะก็ได้ บรรจุลงในตลับสีผึ้งสาริกาอีกทีหนึ่ง ที่ใช้ไม้แกะมักเป็นไม้มะยมตายพราย ทำเป็นรูปนกสาริกาสองตัว ปลุกเสกให้ครบถ้วนแล้วบรรจุลงในสีผึ้งสาลิกาเป็นอันเสร็จ สาริกาหลงรังนี้มีอาถรรพ์ทางเสน่ห์โดยเฉพาะ ทำเป็นสาริกาทั้งตัวผู้และตัวเมีย อยู่ด้วยกัน เป็นความหมายของสัมพันธ์ การครองเรือน การผูกใจคู่ครอง
ตะกรุดสาริกา ใช้ลงแผ่นทองและเงิน ม้วนเป็นตะกรุดใส่ในสีผึ้งสาลิกา แผ่นตะกรุดจะลงอักขระตัว "นะ" ลงไป แล้วจึงม้วนเข้าปลุกเสกใส่ในสีผึ้งสาลิกา
ที่ได้บูชามาเป็นงาช้างแกะเป็นสาลิกา สำหรับตัวงาช้างนั้น ก็ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว พวกเขี้ยวพวกงา จะเป็นทางเหนียว คงกระพัน นำมาทำเป็นสาลิกา จะเน้นไปทาง เมตตามหานิยม เรื่องค้าขายการติดต่อเจรจา
สาริกาลิ้นทอง คือ ตัวยันต์ประเภทหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในหมู่พระเกจิชื่อดัง มีพระพุทธคุณทางด้าน เมตตา มหาเสน่ห์ ลงได้ทั้งวัตถุมงคลและเครื่องราง และยังสามารถลงที่บริเวณปลายลิ้นได้อีกด้วย โดยการนำแผ่นทองที่จารึกอักขระสาริกาลิ้นทอง นำไปลงบริเวณปลายลิ้น ผู้ที่ได้รับการลงสาลิกาลิ้นทอง แล้วนั้นจะเป็นดั่งผู้มีวาจาไพเราะเสนาะหู ใครได้ยินก็หลงไหลในวาจา จึงเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักเจรจาธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนทั่วไป
สาริกาป้อนเหยื่อ วิชานี้เป็นวิชาโบราณ ใช้ในแง่การเจรจาเกี่ยวกับเพศตรงข้ามเชื่อฟัง และทำตามเรา รักเราหลงเรา และยอมเราทุกอย่าง และมีเสน่ห์ในคำพูดกับเพศตรงข้าม วิชานี้ จะมีการลงอักขระที่หน้าอกผู้หญิง ปลุกเสกด้วยคาถาอาคมวิชาสาริกา และเสกด้วยคาถาอาคมลงในยันต์ แผ่นเงินจารมือใส่ด้วยด้ายพรหมจรรย์ และม้วนให้กับปาก เมื่อให้ไปแล้วก็หันหลังกลับไปเลยอย่าได้หันกลับมา วิชานี้ได้แต่ผู้หญิงอย่างเดียวผู้ชายหมดสิทธิ์
สาริกา พยาเทครัว วิชาเมตตาในการพูดจา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีคนเชื่อฟัง รักและลุ่มหลง มีเมียหลายคน และทุกคนจะเชื่อฟัง อยู่ด้วยกันได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไปทางไหนก็จะมีแต่คนติดคนลุ่มหลง
สาริกา พยาหลงรัง วิชานี้จะทำให้คนอื่นที่ได้พูดคุย ลุ่มหลงเสียง คำพูด และไม่อยากไปไหนอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา เปรียบเสมือนคนหลงทางกลับบ้านไม่ถูก
สาริกาอ้อม เหมือนวิชา สาริกา พยาหลงรัง แต่ใช้คาถาคนละบท แต่ว่าสองวิชานี้ต้องลงพร้อมกัน จึงจะเกิดผลเต็มร้อย
สาริกามโหสถ วิชานี้ใช้ในการสนทนา ถ้าได้ยินเสียงแล้วจะชอบ หลงไหล ไพเราะ เสนาะหู เคลิบเคลิ้ม มีความสุขฟังแล้วอยากฟังอีก
นาคเกี้ยว
นาคเกี้ยว ในตำนานที่เล่าขานว่าเป็นเรื่องจริงมีคติความเชื่อสืบทอดมากันมายาวนาน หากใครอยากมีความรักและเขาก็รักเราผูกจิตให้รัก ผูกใจให้คิดถึงคะนึงหามิรู้ลืม รักใคร่กลมเกลียวกันเมตตารักสมัครสมาน สมหวังเรื่องรักกอดคอ รักกันจนวันตาย ชายหญิงใดที่อับคู่ชู้ชื่น จะบันดาลให้เจอเนื้อคู่ เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องรางที่แสดงถึงความรัก ความผูกพันโดยตรง
พญานาคนั้น เป็นผู้ที่เข้าถึงทรัพย์ในดินสินในน้ำ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มีความเป็นเลิศในด้านโชคลาภ ส่วนนาคเกี้ยว เด่นในทางเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์อย่างเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ชนิดพญาเทครัวและดึงดูดโภคทรัพย์
อีกทั้งแคล้วคลาดปลอดภัย การขดของพญานาคน
ผู้เข้าชม
789 ครั้ง
ราคา
250
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
ร้านค้า
baramebun.99wat.com
โทรศัพท์
0910162844
ไอดีไลน์
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
เหรียญหล่อพระอุปคุตเรียกทรัพย์
เหรียญรุ่นมหาเวทย์เนื้อนวะโลหะ
เหรียญหล่อเศรษฐี เนื้อฉนวน หลว
ขุนแผนพรายแม่สีนวล เนื้อว่านดำ
ขุนแผนพรายกุมารรุ่นเพชรกลับหลว
เบี้ยแก้กรูมาวตาร จารมือล-ป-สา
ท้าวกุเวรเนื้อผงกระดูกผีหลวงปู
สมเด็จลายเสือล-ป-ทอง วัดบ้านคู
สังกัจจายหลังลายเซ๊นต์ พ่อท่าน
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
Beerchang พระเครื่อง
เทพจิระ
เปียโน
หริด์ เก้าแสน
stp253
termboon
Netnapa
tumlawyer
มนต์เมืองจันท์
เอก พานิชพระเครื่อง
บ้านพระสมเด็จ
ชาวานิช
ไกร วรมัน
ชา วานิช
someman
hra7215
jocho
ว.ศิลป์สยาม
เจริญสุข
ภูมิ IR
Le29Amulet
โจ๊ก ป่าแดง
น้ำตาลแดง
hopperman
siracha
lord
tplas
ep8600
tintin
เพ็ญจันทร์
ผู้เข้าชมขณะนี้ 1477 คน
เพิ่มข้อมูล
ครูบาแบ่ง วัดบ้านโตนดสาริกาปากดีได้เมีย ได้ทรัพย์ครูบาแบ่ง ฐามุตฺตโมวัดโตนดจ.นครราชสีมาหมายเลข 1896
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
ครูบาแบ่ง วัดบ้านโตนดสาริกาปากดีได้เมีย ได้ทรัพย์ครูบาแบ่ง ฐามุตฺตโมวัดโตนดจ.นครราชสีมาหมายเลข 1896
รายละเอียด
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโม
เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2496 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเส็ง หมู่บ้านโตนด ตำบลโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ชื่อเดิม นายเสมา จุ่มกลาง เป็นบุตรของนายมาก จุ่มกลาง กับ นางอ่อง จุ่มกลาง มีพี่น้องชายหญิงรวมกัน 7 คน โดยท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ด้วยความที่ครอบครัวของท่านเป็นแพทย์แผนโบราณและเป็นหมออาคมไสยเวทย์ ที่ถ่ายทอดวิชาสืบต่อกันมาแต่ครั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย ทำการรักษาผู้คนในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียงที่เจ็บป่วย
อายุได้ 12 ปี เรียนจบระดับประถมต้นจากโรงเรียนวัดบ้านโตนด จากนั้นท่านได้เริ่มศึกษาสรรพวิชาแพทย์แผนโบราณการรักษาโรคภัยด้วยยาหม้อและสมุนไพรต่างๆ ท่านมีโอกาสได้ศึกษาอ่านเขียนอักขระขอมตามหลักคัมภีร์โบราณ และได้รับการถ่ายทอดเวทย์มนต์คาถามหาบทต่างๆ จากนายมากผู้เป็นบิดา และรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ทางการแพทย์แผนโบราณ
อายุ 14 ปี สามารถรักษาชาวบ้านให้หายจากอาการเจ็บป่วยได้ บิดาจึงไว้วางใจให้ช่วยรักษาชาวบ้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น หมอน้อย ได้รับการนับถือจากชาวบ้านโตนดตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุย่างเข้าวัยหนุ่มชีวิตในวัยนี้ของท่านได้พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เมื่อในหมู่บ้านโตนดของท่านมีชีปะขาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ผิดจากคนธรรมดา เดินธุดงค์จาริกแสวงบุญมาปักกลดอยู่ที่ชายป่าท้ายหมู่บ้าน สอบถามได้ความว่าท่านเดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งประเทศลาว มีอาศรมถิ่นที่พำนักอยู่ภูเขาควาย ดินแดนที่มีความลี้ลับอาถรรพ์ เป็นป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยถ้ำและหุบเขาสูงชันที่ทอดตัวอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว ที่ภูเขาควายแห่งนี้ คือ สถานที่ที่พระเกจิอาจารย์ของไทยหลายรูปได้ธุดงค์ไปถึงมาแล้ว และที่ภูเขาควายแห่งนี้ก็เป็นตักศิลาวิชาอาคมไสยเวทย์ของชีปะขาวผู้นี้ ท่านมีชื่อว่า “ครูบาสีหราช”ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมสาย พลต้อง เณรคำ และ ท่านหมอเทพจากสายสำเร็จลุนซึ่งเป็นพระเกจิระดับปรมาจารย์ของประเทศลาว เมื่อท่านทราบดังนี้จึงเกิดความเลื่อมใส ท่านจึงได้ฝากตัวขอเป็นศิษย์ ออกติดตามรับใช้ครูบาสีหราชในระหว่างที่เดินธุดงค์ในไทย ทั้งๆ ที่ท่านยังเป็นเพศฆราวาส จากนั้นก็เดินทางข้ามฝั่งไทยไปจนถึงอาศรมที่พำนักภูเขาควาย ท่านได้คอยรับใช้และได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากครูบาสีหราชจนสำเร็จในระดับหนึ่ง ท่านจึงกราบลาครูบาสีหราชเพื่อเดินทางกลับมายังบ้านโตนดอีกครั้ง
พ.ศ. 2521 มีอายุได้ 25 ปี ถึงเกณฑ์บวชเรียนศึกษาพระธรรม ท่านได้กราบลาอุปสมบทที่วัดบ้านโตนด โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูวัชรญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดด่านทองหลาง เจ้าคณะอำเภอโนนสูงในขณะนั้น ครูบาแบ่งท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า ฐานุตฺตโม ซึ่งมีความหมายว่า ผู้มีฐานะอันอุดม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัตถุมงคล รุ่น โภคทรัพย์ เมื่อครูบาแบ่งบวชได้ 4 เดือน หลังจากออกพรรษาในปีนั้น ท่านได้ปลีกวิเวกเริ่มออกเดินธุดงค์โดยทันที ด้วยความมีมานะเป็นมุ่งมั่นและมีจิตใจที่แน่แน่ว ประกอบกับเป็นผู้มีวิชาอาคมติดตัว หลังจากที่ท่านได้ออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆเป็นเวลา 1 ปี ท่านมีโอกาสได้พบกับครูบาสีหราชที่อาศรมภูเขาควายอีกครั้งหนึ่ง จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจนสำเร็จถึงขั้นสูงสุด จากนั้นท่านได้เดินธุดงค์ข้ามฝั่งลาวกลับมายังวัดโตนดอีกครั้ง
พ.ศ. 2523 ครูบาสีหราชได้ละสังขาร ท่านจึงเดินทางกลับไปยังภูเขาควายและอยู่จัดการศพจนเรียบร้อย ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ท่านเสียใจมากจนต้องลาสิกขาบทกลับมาเป็นฆราวาส จากนั้นท่านได้เดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อค้นหาสัจจะธรรมบางสิ่งให้กับตัวเอง
พ.ศ. 2536 ท่านได้รับข่าวบิดาล้มป่วยด้วยอาการอัมพฤกษ์ ท่านได้ทำการรักษาโดยใช้วิชาความรู้ที่มีแต่ก็ไม่สามารถรักษาบิดาให้หายได้ ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอบวชแก้บนให้บิดาโดยตั้งใจจะบวชเป็นเวลา 15 วัน แต่ในระหว่างที่บวชแก้บนอยู่นี้ ท่านได้เห็นความเจ็บป่วยของบิดา เห็นการเจ็บป่วยล้มตายของชาวบ้าน และเห็นความทุกข์ยากลำบากของชาวบ้าน ทำให้ท่านได้มีโอกาสได้เข้าใจถึงหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเกิดคิดเปลี่ยนใจขออยู่ในร่มกาสาวพักตร์ต่อไป เพื่อคอยช่วยเหลือญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ให้ได้นำหลักธรรมมาใช้ในการนำพาชีวิตให้กลับมาดีขึ้นได้ ท่านได้รับการเรียกขานชาวบ้านและลูกศิษย์ว่า ครูบาแบ่ง ด้วยเพราะความใจดี เมื่อชาวบ้านขออะไรท่านก็ให้โดยไม่หวงหรือยึดติด จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ตามป่าเขาในประเทศไทยเรื่อยมา และได้มีโอกาสจำพรรษาร่วมกับศิษย์ผู้น้อง คือ ครูบากฤษณะ อินทวัณโณ ซึ่งเป็นศิษย์ของครูบาสีหราชอีกผู้หนึ่ง
พ.ศ. 2544 ท่านจึงได้ยุติการออกเดินธุดงค์และจำพรรษาอยู่ที่วัดโตนดตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ. 2550 ท่านได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็น“พระครูสังฆรักษ์เสมา”
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโมท่านมีลักษณะของมหาบุรุษ มีอัธยาศัย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลักษณะ รูป กาย สมส่วนมีความเมตตาปราณีไม่ถือชั้นวรรณะ ต้อนรับผู้คนที่มาหาโดยไม่เลือกว่าเศรษฐียากดีมีจน ว่ากันว่าบุคคลใดต้องการกลับใจเป็นคนดี หากได้สนทนากับท่านแล้วจะเปลี่ยนนิสัยกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กิจวัตรประจำวันของท่าน หลังจากฉันเช้าแล้วประกอบกิจของสงฆ์จนถึงเวลาฉันเพลจากนั้นท่านจะออกรับลูกศิษย์จำนวนมากที่เดินทางมาไกลๆทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ครูบาแบ่ง ฐานุตฺตโม ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากครูบาอาจารย์ต้นตำหรับเทพสาลิกาอันโด่งดังและมากด้วยประสบการณ์ ด้วยท่านเป็นผู้เคร่งครัดในคำสอนของครูบาอาจารย์ และยึดมั่นในคำสอนรวมถึงต้องการสืบทอดวิชาการสร้างเทพสาลิกาแบบดั้งเดิมไว้มิให้สูญหาย วัตถุมงคลของท่านสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีผู้ใดเหมือน ด้วยชนวนมวลสารที่ท่านนำมาสร้างเทพสาลิกา แต่ละอย่างล้วนแต่เป็นของมงคลหายาก รวมถึงอักขระภาษา ฑิเบตโบราณ ที่ได้ร่ำเรียนสั่งสมมา ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นแต่ละครั้งมวลสารไม่เหมือนกัน มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว ด้วยเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เทพสาลิกาของท่านมีพุทธคุณด้านเรียกเงินเรียกทอง เรียกคนให้มารักมาหลง ค้าขายดีเป็นเลิศ หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าแคล้วคลาดปลอดภัยเปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก ขอสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จทุกประการ
การสร้างเทพสาริกา ตามตำราโบราณนั้น มีรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงเป็นที่มาของการสะสมและค้นหาสิ่งของมงคลที่หายาก เพื่อนำมาประกอบเป็นมวลสารสำหรับการสร้างเทพสาลิกาแต่ละครั้งออกมามีจำนวนไม่มากนัก ตามจำนวนมวลสารที่หามาได้ จึงมีคุณค่าในการครอบครองเพื่อการบูชาสักการะ
เมื่อประมาณต้นปี 2538 คณะครูบาแบ่ง ประกอบด้วยพระลูกศิษย์อีก 4 รูปได้ออกจาริกธุดงค์ไปยังเทือกเขาเพชรบูรณ์ เพราะทราบจากพระเกจิธุดงค์รูปหนึ่งว่ามีของวิเศษอยู่ที่ ถ้ำพญานาค ตั้งอยู่ในเขต อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในอดีตนั้น "ถ้ำพญานาค" นี้เป็นที่บำเพ็ญศีลภาวนากรรมฐานของพระป่าสายกรรมฐาน ได้มาสำเร็จที่ถ้ำแห่งนี้หลายรูป เท่าที่ทราบก็มี หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ผาง และรูปสุดท้ายคือ พระอาจารย์ทองใบ แต่ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด มีเลือดออกทางจมูกและหู แต่ก็สำเร็จมาได้
นับจากนั้นมาก็ไม่ปรากฏว่ามีพระเกจิรูปใดกล้าไปที่นั้นอีก ว่ากันว่ามีอาถรรพ์ของ พญานาค ผู้ทรงฤทธิ์สถิตอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ และเจ้าป่าเจ้าเขาก็แรงมาก อีกทั้งสัตว์ป่าอันตรายและโขลงช้างป่าที่ดุเอาการอยู่ คณะของครูบาแบ่งได้ธุดงค์เข้าป่าลึกมุ่งสู่ถ้ำพญานาคตามลายแทงที่พระธุดงค์มอบให้ไว้ ในเขตป่าแห่งนี้เป็นป่าทึบอากาศหนาวเย็นมากตลอดทั้งปี
เมื่อไปถึงปากถ้ำแล้วจึงปักกลดธุดงค์ โดยแยกกันตั้งห่างกันพอสมควร เพื่อสงบเหมาะแก่การภาวนากรรมฐาน ในกลุ่มถ้ำพญานาคนี้ จะมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอยู่ลดหลั่นกันไปถึง 5 ถ้ำมีชื่อเรียกต่างกันไป ครูบาแบ่งท่านจะปักกลดอยู่ปากถ้ำใหญ่ที่อยู่บนสุดที่ชื่อว่า "ถ้ำพญานาค"
คืนนั้นเป็นคืนที่มืดสนิทมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีดำทมึนของราตรีกาล ในป่าเสียงหรีดหริ่งเรไรได้สงบลงเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจเท่านั้น คืนนั้นท่านก็ถูกลองดีซะแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่ามาทดสอบ ขณะที่ท่านเจริญภาวนาเข้าสมาธิดีแล้ว ประมาณสักสี่ทุ่มเศษเห็นจะได้ พลันท่านก็รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่างเป็นดวงไฟเจิดจ้าค่อยๆ ลอยเข้ามาหาท่าน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่าน ดวงไฟใหญ่จนเต็มไปหมดในดวงไฟนั้น กลับปรากฏว่าเป็นในหน้าของคนที่ท่าทางดุมาก ผิวดำดวงตาแดงราวกับไฟ แต่มีเฉพาะในหน้าเท่านั้นไม่มีตัวตน นิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ใหญ่
ครูบาเองไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใดเพราะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าที่นี่มีอาถรรพ์แรงจึงพร้อมรับ ท่านได้กำหนดจิตถามไปว่า “ท่านเป็นใคร ต้องการสิ่งใด”ทันใดนั้นก็ปรากฏว่าแสงสว่างวาบขึ้นจนจ้าไปหมด พลันครูบาท่านก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงพระลูกศิษย์เรียกตะโกนมาว่า ”ครูบาๆๆ นิมนต์ลงมาฉันได้แล้วครับ”
ไม่น่าเชื่อว่าจะเช้าแล้วเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อครู่นี้เอง ท่านว่าหากเดินทางมารูปเดียวตามลำพังอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่ด้วยบุญบารมีของท่านจึงรอดมาได้ แสดงว่าเจ้าป่าเขาเปิดทางให้แล้ว เมื่อฉันเสร็จแล้วจึงทำพิธีบัดพลีขอ "แป้งลูกสาวพญานาค" วิเศษนั้นกับเทวดาอารักษ์และพญานาคทั้งหลาย เพื่อนำไปสร้างวัตถุมงคลให้ผู้คนได้บูชาได้ช่วยเหลือผู้ยากได้พ้นจากกองทุกข์
แล้วจึงพากันเข้าสำรวจถ้ำ ข้างในถ้ำอากาศเย็นมากยังกับติดแอร์ราวสามสิบตัว โพรงถ้ำสะอาดมากพื้นถ้ำก็ราบเรียบ มีหินงอกหินย้อยกระทบแสงไฟระยิบระยับสวยงามมาก มีลำธารน้ำไหลภายในถ้ำใสมากไม่ทราบไหลมาจากที่ใด มีความเย็นราวกับน้ำแข็งเหยียบเท้าลงไปสะดุ้งวาบ ว่ากันว่าตลอด 3 วันที่ไปกันไม่มีใครสรงน้ำที่นั้นเลย ยกเว้นครูบาแบ่งท่านเดียวที่กล้าเข้ามาสรงน้ำในลำธารในถ้ำ
ท่านว่าถ้าลองแช่เท้าในน้ำกลั้นใจสักพักน้ำ ก็จะอุ่นเองสามารถสรงได้อย่างสบาย มีความสดชื่นอย่างประหลาด หายปวดเมื่อยทั้งร่างกายคงเป็นน้ำทิพย์ของ
พญานาค ใครได้อาบดื่มกินจะช่วยให้มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น สุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นมงคลต่อชีวิตอย่างยิ่ง วันแรกยังไม่พบอะไร คืนที่สองก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก
วันที่ 3 พอเข้าไปในถ้ำอีกสักครู่ก็พบโพรงลึกลงไปในพื้นถ้ำโตขนาดถังน้ำมันสองร้อยลิตร มีลมพัดสวนขึ้นมาแผ่วๆ หลวงพี่อำนวยจึงอาสาเป็นผู้กล้ามุดลงไปผูกสบงเป็นโจงกระเบนเตรียมไฟและถุงกับย่ามค่อยไต่โรยตัวลงไป พบว่าด้านล่างเป็นห้องโถงใหญ่มีหลายห้องลึกยาวเข้าไป สภาพสะอาดกว่าข้างบนซะอีก มีธารน้ำและหาดทรายด้วย แต่ทว่าทรายนั้นเป็นสีดำ นี่คือทรายที่พญานาคก่อนจะเข้าถ้ำจะคลายพิษทิ้งไว้
เมื่อเดินเข้าไปอีกก็พบรูปหินคล้ายลำตัวพญานาคทอดยาวไปขนาดใหญ่สูงกว่าตัวคน มีหัวอ้าปากมีเขี้ยวมีหงอนคล้ายพญานาคแกะสลักยังไงก็ยังงั้น แต่ช่วงกลางลำตัวและส่วนหางจนหายไปในผนังถ้ำ ตามละตัวมีเกล็ดเป็นหินแก้วขนาดใหญ่เรียงซ้อนคล้ายกับเกล็ดงูแกะสลักไว้ กระทบแสงสะท้อนแวววาวยังกับกระจกหลากสีสวยงามมาก อย่างนี้นี่เองที่พระเกจิในอดีตท่านขนานนามไว้ว่า ”ถ้ำพญานาค”
บริเวณใกล้กันเป็นห้องโถงมีแท่นคล้ายเตียงนอนขนาดใหญ่ มีหินงอกย้อยลงมาคล้ายม่าน ใกล้ๆ กันมีบ่อเป็นหลุมขนาดครกตำข้าวในหลุมนั้น มีแป้งฝุ่นละเอียดอ่อนสีขาวนวล มีกลิ่นหอม นี่เองที่เขาเรียกว่า “แป้งลูกสาวพญานาค”
หลวงพี่อำนวยจึงรีบโกยแป้งนั้นใส่ถุงจนหมด และรีบกลับออกมาโกยเอาทรายดำใส่ถุงและรีบปีนขึ้นมา
เมื่อกลับมาถึงข้างบนปรากฏว่า "ทรายดำ" นั้นกลายเป็นฝุ่นสีดำปนเหลืองคล้ายขี้มอด หลวงพี่อำนวยกลับโมโหใหญ่รีบคว้าคลานมุดลงไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พบรอยเลื้อยของงูใหญ่อยู่บนหาดทรายและพื้นดินเลน เอามือลูบดูเป็นเมือกรื่นๆ ดมดูมีกลิ่นคาว และมีเกล็ดงูขนาดใหญ่กระทบแสงแวววาวหล่นอยู่ตามรอยเลื้อยนั้น หลวงพี่อำนวยตกใจมากจึงเอามือรูดๆ รีบเก็บเอาเกล็ดนั้นมา แล้วเข้าไปใช้ขวานถากเกล็ดแก้วพญานาคที่หินรูปพญานาคนั้นทันที ครั้งแรกถากไปตามเกล็ดขวานกลับเด้งขึ้นไม่ระคายผิวเลย จึงลองกลั้นใจใหม่ถากย้อนเกล็ด ปรากฏว่าแผ่นแก้ว "เกล็ดพญานาค" หินนั้นหลุดออกมาทันที แล้วจึงรีบเก็บโกยเข้าถุงรีบปีนกลับขึ้นมาอย่างเร่งรีบ เนื้อตัวเปียกปอนสบงที่สวมขาดวิ่น เนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ท่านว่าใช้เวลาลงไปแค่อึดใจเท่านั้นแต่เหมือนกับนานมาก เพราะมีความกลัว
ครูบาบอกว่าโชคดีแล้ว ถ้าช้ากว่านี้หรือครั้งแรกลงไปนานเกิน อาจจะพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะตายก็ได้ จากนั้นก็รีบถอนกลดธุดงค์เดินทางกลับทันที เมื่อกลับมาถึงวัดหลวงพี่อำนวยป่วยไปถึงสามเดือน รักษาอยู่นานอาการจึงเป็นปกติ
แต่ก็คุ้มที่ได้ "แป้งลูกสาวพญานาค" มาแถมด้วย "เกล็ดพญานาค" และ "เพชรพญานาค" (ถากมาจากรูปหินพญานาค) เป็นแก้วขาวมีทั้งใสและขุ่น
มีความแววาวสวยงามมากไม่เหมือนอัญมณีใดๆ บนโลกนี้เลย เกล็ดพญานาค นั้นเป็นของวิเศษสามารถส่งเสริมดวงชะตาบารมี ป้องกันเภทภัยต่างๆป้องกันภูตผีปิศาจของเสนียดจัญไร ป้องกันคุณไสยต่างๆได้เป็นอย่างดี และเสริมการอธิษฐานให้แรงยิ่งขึ้น รวมถึงมวลสารต่างๆที่นำมาผสมจากที่ต่างๆนำมาจัดเป็นวัตถุมงคลประกอบด้วย
แป้งเมืองลับแล เมื่อช่วงปี 2539 ครูบาแบ่ง ได้ไปปักกลดธุดงค์อยู่บนภูผาช่องลม ริมแม่น้ำมูล อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งมีหน้าผาสูง และป่ารกทึบ คืนแรกไม่มีเหตุการณ์อะไร พอคืนที่2 ขณะที่ครูบาแบ่งตั้งจิตเข้าสมาธิดีแล้ว เกิดนิมิตเห็นกลุ่มคน ทั้งชายหญิง เดินหายเข้าไปในแนวผาเชิงเขาแถบนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอคืนที่3 ก็นิมิตเห็นกลุ่มคน เดินเข้าออกที่เชิงผาที่เดิมอีก เมื่อคลายจิตแล้วจึงคิดว่าคงไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ เขาคงมีอะไรบอกเราสักอย่าง รุ่งเช้าแล้ว เมื่อได้เวลาครูบาท่านจึงลองสำรวจดูแถวนั้น ก็พบเชิงผาตามนิมิต ใช้มือลูบคลำดูเรื่อยๆ จึงพบจุดหนึ่งผิดสังเกต จึงกลั้นใจว่าคาถา และตบฝ่ามือไปที่นั้น ก็ปรากฏว่าแผ่นหินวงกลมขนาดจานครอบใบใหญ่ หลุดเข้าไปเหมือนฝามาปิดไว้ ข้างในเป็นโพรงตื้นๆ มีกลิ่นหอมประหลาดโชยออกมา ส่องดูพบว่า เป็นฝุ่นแป้งสีเหลืองอ่อน ดังสีผงขมิ้น จึงอธิฐานขอเจ้าของผู้อารักขา โกยแป้งฝุ่นนั้นมาจนหมด ท่านเรียกว่า “แป้งเมืองลับแล”มวลสารลี้ลับที่ยากจะหาพบได้ในแดนสยามมีของจริง ไม่ใช่เรื่องตำนานที่เล่าขานต่อกันมาเท่านั้น นับเป็นเรื่องแปลกอีกว่าทุกๆ ปีที่ต้องการทำวัตถุมงคล ท่านก็จะกลับไปที่ผานั้นอีก เปิดฝาหิน พบแป้งเมืองลับแลเต็มอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ครั้งก่อนได้นำไปหมดแล้ว ได้ติดต่อกันอย่างนี้ถึงปีที่ 5 โพรงหินดังกล่าวก็ปิดไม่สามารถหาตำแหน่งเปิดฝาหินนั้นได้อีก เรื่องมีอยู่ว่าในปีที่ 5 นั้น ครูบา ท่านใช้ลูกศิษย์ให้ไปเอามาแทน ด้วยเป็นพระหนุ่ม กำลังคึกคะนอง พากันไปหลายรูป ใครๆ ก็อยากเห็น ใครๆ ก็อยากได้ แต่เมื่อได้ของมาแล้ว ทำผิดแบบไหนไม่ทราบ ฝาหินปิดสนิทหาตำแหน่งไม่พบ เทพผู้รักษาจึงไม่อนุญาตให้มาอีกต่อไปเลย แป้งเมืองลับแลนี้มีอิทธิคุณด้านมหานิยม และมหาลาภเป็นอย่างยิ่ง
ว่านผมผีพราย หรือ หนวดพราหมณ์ (มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัย)
เป็นว่านอาถรรพ์มีลักษณะเป็นเส้นสีดำกับสีน้ำตาลเข้มเหมือนเส้นผมคน แต่เส้นใหญ่และหยาบกว่า ขึ้นอยู่ตามป่าลึก ไม่มีลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ แต่จะพันอยู่กับกิ่งไม้จากต้นอื่นๆ และห้อยย้อยลงมา มีภูติที่สูงด้วยอิทธิฤทธิ์เฝ้ารักษาอยู่ ยามค่ำคืนจะเห็นเป็นดวงไฟลอยวูบวาบอยู่บริเวณชุมว่าน ต้องผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้นจึงจะเข้าไปเอามาได้ มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัยได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้น ไม่สามารถนำมาปลูกเพาะพันธุ์ได้
ว่านสาวหลงตัวเมีย (ต้นเขียว) เพราะว่านสาวหลงมีทั้งชนิดต้นแดง (ตัวผู้) และต้นเขียว(ตัวเมีย) ชนิดต้นเขียวจะมีขนาดใหญ่กว่า หอมกว่า หายากกว่า และนิยมใช้กันมากกว่าชนิดต้นแดง ซึ่งต่างกับว่านชนิดอื่นๆ แทบทุกชนิดที่จะนิยมใช้แต่ต้นแดง(ตัวผู้)มากกว่าต้นเขียว ว่านสาวหลงนี้ตำราระบุว่าให้ปลูกได้เฉพาะวันจันทร์เพียงวันเดียวเท่านั้น ว่านสาวหลง : สมัยโบราณกล่าวว่า ว่านนี้ผู้ทรงวิทยาคุณหวงแหนและปิดบังยิ่งนัก จัดอยู่ในประเภทเมตตามหานิยมสูง บ้านเรือนใดมีไว้จะเป็นศิริมงคลแก่บ้านเรือนที่อาศัยนั้น ยิ่งถ้าเป็นร้านค้าขายจะทำให้ทำมาค้าขายซื้อง่ายขายคล่อง เป็นเสน่ห์มหานิยมแก่ผู้เป็นเจ้าของ บรมครูท่านแนะนำไว้เวลารดน้ำให้เสกด้วยคาถา “อิติปิโสภะคะวา” 3 จบ ว่านนี้ปลูกได้วันเดียวคือ วันจันทร์ข้างขึ้น
แป้งอิทธิเจ เป็นแป้งวิเศษ มาจากถ้ำแถบจังหวัดชุมพรต้องมุดลงไปในถ้ำลึก ลักษณะสีเหลืองนวลเป็นประกาย ก้อนๆ มีความเปียกชื้น คล้ายดินน้ำมัน สามารถปั้นเป็นรูปร่างได้ จับมีความเย็นชื้น พระธุดงค์รูปหนึ่งนำมาถวาย นับว่าเป็นของวิเศษชั้นยอด ท่านว่าเป็นของพระเกจิในอดีตโบราณ ผู้เรื่องอาคม ได้ปลุกเสกเก็บซ่อนไว้ในถ้ำ รอเวลาคู่บุญนำไปทำพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆ
แร่ไหลเพชรดำ แร่ไหลเพชรดำนี้ มีผู้ขุดพบได้มาจากกรุวัดซุ้มกอ จ.กำแพงเพชร นำมาถวายให้เจ้าคณะอำเภอเมืองกำแพงเพชร และท่านก็ได้ถวายครูบาแบ่ง วัดบ้านโตนด มาอีกทีหนึ่ง เป็นตำนานหนึ่งที่เล่าสืบทอดกันมาถึงความมหัศจรรย์และมีอิทธิบันดาลให้เกิดโชคลาภร่ำรวยแก่ผู้ครอบครองได้อย่างเหลือเชื่อเหมือนพลิกฝ่ามือ ขอทานจะได้เป็นเศรษฐี สามัญชนจะได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เศรษฐีจะกลายเป็นคหบดีมหาเศรษฐี ขุนนางจะได้เป็นนายชนชั้นปกครองที่สูงส่ง ครูบาแบ่งท่านได้มาก้อนใหญ่เท่าหัวคน ถ้าเอามือลูบดูจะมีเศษเขม่าเหล็กสีดำยังกับถ่านแต่มีประกายแวววับติดมือมา เอากลักไม้ขีดไปทาบกับก้อนแร่สักพักนำมาจุด ไม่สามารถจุดติดไฟได้ทั้งกล่อง ครูบาแบ่งท่านนำมาเป็นส่วนผสมหลักวัตถุมงคล รูปเทพสาลิกา รูปพญานาค และกุมาร โดยบดคลุกเคล้าไปกับเนื้อผง เพื่อเน้นวัตถุมงคลให้มีอิทธิฤทธิ์ด้านโชคลาภ มีปรากฏการณ์ประหลาด วันดีคืนดีแร่ไหลเพชรดำนี้จะผุดลอยขึ้นเหนือผิวพระ ลักษณะเป็นเกล็ดแก้วบางใส่เล็กมากๆ ส่องแสงแวววาวจนเต็มคลุมผิวไปหมด จะขึ้นเป็นบางองค์ของบางคน ยิ่งใครดวงดียิ่งขึ้นเยอะหากแร่ไหลเพชรดำลอยขึ้นเหลือผิวสาริกาเมื่อไร ขออะไรมักจะไม่พลาด เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก
ไม้งิ้วดำกลายเป็นหินเพชร นับว่าเป็นของวิเศษสุดยอดหนึ่งเดียวในปฐพี มหัศจรรย์ ครูบาแบ่งท่านเล่าว่า ได้รับตกทอดมาจากอาจารย์ มีอายุหลานร้อยล้านปีมีลักษณะไม้งิ้วดำกลายเป็นหินมีเสี้ยนลายไม้ชัดเจน ก้อนสีดำคล้ายคาร์บอนถ่านหิน แต่เป็นที่ประหลาดว่าคาร์บอนนั้นตกเป็นผลึกกลายเป็นเพชรเกาะเต็มไปหมด มีทั้งผลึกเล็กใหญ่ลดหลั่นกันไปยามต้องแสงอาทิตย์หรือแสงไฟจะส่องแสงแวววาวระยิบระยับประกายส่องแสงแวววาวหลายสี เหมือนสีรุ้งสวยงามราวกับเพชร มีอานุภาพครอบจักรวาลและส่งเสริมชะตาผู้ครอบครองให้รุ่งโรจน์ เมื่อนำมาผสมโรยบนผงวัตถุมงคลมีปริมาณน้อย เน้นเฉพาะพิมพ์พิเศษ เช่น ขุนแผนแสนเสน่ห์ปี 2538 เทพสาลิกาเดี่ยวจัมโบ้บางพิมพ์ เทพสาลิกาเนื้อดำมหาเสน่ห์หลังตะกรุดทองคำฝังพลอยหินล้านปี ซึ่งสร้างเพียง 10 องค์
ไม้แยงแย้ หรือ ไม้แหย่แย้ เป็นว่านทางด้านโชคลาภและมหาละลวย เชื่อกันว่าหากใครพกติดตัวเมื่อพูดแล้วจะทำ ให้คนรักคนหลง น่าเชื่อถือ ดึงดูดและสะกดใจคนอย่างได้ผลนัก คล้ายกับมหาเสน่ห์หรือสาลิกาลิ้นทอง ว่ากันว่าว่านชนิดนี้สามารถนำไปปรุงเป็นน้ำมันตาทิพย์ได้เมื่อนำไม้แยงแย้นี้ไปแหย่รูแย้รูงู พวกแย้พวกงูจะคลานออกมาและอ่อนละทวยให้เราจับแต่โดยดี ในปัจจุบันผู้จัดสร้างวัตถุมงคลนิยมนำไม้แหย่แย้มาบดเป็นผงเป็นมวลสารในการจัดสร้าง หรือนำไม้แหย่แย้มาทำเป็นเครื่องรางของขลัง รวมถึงนำต้นที่เป็นเถาสั้นมาสวดคาถากำกับให้เกิดความเป็นมงคล
แป้งนางผมหอม ได้มาจากถ้ำนางผมหอม บริเวณเทือกเขาบ้านผาเมือง เมืองบ่อลิคัน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ลักษณะเป็นแป้งฝุ่นสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โดยมีพระธุดงค์รูปหนึ่งนำมาถวาย เป็นแป้งวิเศษมีอิทธิคุณด้านมหาเสน่ห์
ผงยะลา ได้มาจากถ้ำในจังหวัดยะลา ภาคใต้ อยู่ในถ้ำลึกและอับชื้น แต่ช่วงหนึ่งในถ้ำกลับเป็นห้องโถงสะอาดสะอ้าน มีอากาศถ่ายเทสบายมีกลิ่นหอมเหมือนธูปกำยาน และพบผงชนิดนี้เป็นผงฝุ่นละเอียดอ่อนมีขาวหม่นมีฝุ่นดำปะปนอยู่ เมื่อนำมาผสมวัตถุมงคลและทำให้มีกลิ่นหอมใครได้กลิ่นมักหลงใหลเป็นเสน่ห์แก่ผู้ครอบครอง
ว่านสาวหลง ทรงคุณค่าในทางเสน่ห์เมตตามหานิยมอย่างสูงสุด ถือกันว่าเป็นสุดยอดของว่านทางเสน่ห์มหานิยม ท่านให้เอารากของว่านนี้มาฝนหรือบดผสมกับสีผึ้ง หรือแช่น้ำมันจันทน์ หรือเพียงแต่เอารากของว่านนี้ถือติดตัวไป ผู้คนทั้งปวงก็จะพากันงวยงงหลงรักใคร่ในผู้ที่มีว่านหรือทาน้ำมันหรือสีผึ้งที่เข้าว่านจนหมดสิ้น เมื่อจะใช้ ว่านสาวหลง ท่านให้เสกด้วยพระคาถา "มะอะอุ พุทธะสังมิ จิเรรุนิ นะชาลิติ ปิยังมะมะ" ทุกครั้งไป
ว่านดอกไม้ทอง
โบราณกล่าวไว้ว่ามีอยู่ 9 ชนิดแต่ปรากฏในโลกมนุษย์เพียง7 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ที่เมือง ลับแลเมืองของผู้ทรงศีล อีกชนิดหนึ่งอยู่ที่นางไม้เฝ้ารักษาไว้ ว่านชนิดนี้ขึ้นเป็นกระจุกอยู่ในป่าลึกแถบเทือกเขาจังหวัดเลย จัดเป็นยอดว่านมหาเสน่ห์ขั้นสูงมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย หัวว่ามีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชายหญิง มีกลิ่นหอมประหลาดเมื่อใครได้กลิ่นจะมีความกำหนัด เวลาไปหาว่านต้องมีผ้าปิดจมูก เนื่องจากมีอำนาจในทางเพศรุนแรงมาก ใช้ได้ทั้งราก หัว ต้น ใบ และดอก แม้แต่น้ำที่รดต้นว่าน ถ้าใครได้สัมผัส โดยเฉพาะเพศหญิง จะเกิดอาการทางเพศรุนแรงมาก ถ้านำหัว ต้น หรือใบ ใส่ลงในภาชนะที่บรรจุน้ำ เช่น โอ่ง บ่อน้ำ ผู้ใดกินเข้าไปจะมีความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง หลงงมงายอยู่ในกามโลก หากใครได้กลิ่นหอมของว่านชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จะพากันมัวเมาอยู่ในโลกีย์มิได้สร่างซา จึงนิยมเด็ดดอกแล้วนำไปแช่น้ำมันเก็บไว้ใช้เป็นยาเสน่ห์ หากปลูกไว้ตามบ้านร้านค้า เรือค้า ห้างร้าน บริษัทต่างๆ สถานเริงรมย์ หรือแหล่งสำราญตามบาร์ ตามไนท์คลับ ย่อมเป็นมหาเสน่ห์เมตตามหานิยม มีผู้คนไปอุดหนุนจุนเจืออยู่มิขาด หากได้ปลูกคู่กับว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวผู้ยิ่งวิเศษนักเพราะว่านคู่กัน และมีสรรพคุณเหมือนกันทั้งสองชนิด ซึ่งโบราณท่านว่าถ้าเป็นผู้ชายให้ปลูกว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวเมีย ผู้หญิงให้ปลูกว่านดอกทอง (รากราคะ) ตัวผู้หากใช้ทำเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้นำหัวว่านที่แก่เต็มที่ หรือช่อดอกมาบดเป็นผง แช่น้ำมันจันทน์ แล้วเสกด้วยคาถา "จันโทอะภิกันตะโร ปิติปิโยเทวะมนุสานัง อิตถีโย ปริโส มะอะอุ อิสวาสุ อิกะวิติ" 108 จบ ใช้แต้มตามตัวจะให้ผลวิเศษนัก
นกสาริกา
นกสาริกา แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะ กำลังจะสูญพันธุ์ ในประเทศไทยถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนก
นกสาริกา เป็นนกในวงศ์ตระกูลนกเอี้ยงและนกกิ้งโครง ลำตัว หัว คอ ปากและขอบตาสีสด สะดุดตา มีเสียงร้องไพเราะ เวลากู่หาคู่เป็นจังหวะจะโคน ปกติอยู่เป็นคู่ อาศัยอยู่ในป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบ และป่าดงดิบ เวลาบินจะกระพือปีกสั้นๆ สลับกับร่อนไปเป็นระยะไกล มองเห็นหางยาวแพนดูพลิ้วไปตามกระแสลมสวยงามมาก พร้อมส่งเสียงร้อง“แก๊ก-แก๊ก แก๊ก-แก๊ก” ไปเรื่อยๆ ชอบบินตามกันไปเป็นคู่หรือเรียงกันเป็นแถว ทั้งพ่อนกและแม่นกช่วยกันสร้างรังและเลี้ยงลูกอ่อนด้วยกัน แม่นกทำหน้าที่กกไข่ หากมีศัตรูเข้ามาใกล้รัง จะเข้าจิกตีเพื่อปกป้องลูก
สมัยโบราณกาล ได้นำ "สาริกา" เป็นเครื่องรางของขลัง มีผู้คนนิยมด้วยความเชื่อความศรัทธาว่ามีคุณในด้านเมตตามหานิยม เป็นวิชาที่มีอาถรรพ์มากมายพอสมควรมุ่งไปในด้านเมตตามหานิยมในการค้าขาย ในการเจรจาพาที ให้เป็นที่รักของผู้คน
สาริกาลิ้นทอง ใช้การลงอักขระที่ปลายลิ้น ใช้แต่เพียงการลงเปล่าๆ ไม่ต้องมีการลงหมึกแบบสักยันต์ จากนั้นก็ให้ลงคาถากำกับ
สีผึ้งสาริกา ใช้การหุงขี้ผึ้งด้วยน้ำมันหอมกับขี้ผึ้งที่ปลุกเสกด้วยคาถาทางเมตตามหานิยม แล้วใช้สีปาก โดยนำขี้ผึ้งบริสุทธิ์มากวนผสมกับเครื่องหอม และวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ บางพระเกจิอาจารย์ที่อาคมแก่กล้าท่านไม่ได้ใช้ไฟในการกวน หากแต่เพ่งกสิณเตโชทิพย์จนขี้ผึ้งละลายผสมกับส่วนผสมต่างๆ
สาริกาหลงรัง โดยการใช้ไม้แกะหรือผงปั้นเป็นรูปนกสาริกาหรือใช้งาช้างแกะก็ได้ บรรจุลงในตลับสีผึ้งสาริกาอีกทีหนึ่ง ที่ใช้ไม้แกะมักเป็นไม้มะยมตายพราย ทำเป็นรูปนกสาริกาสองตัว ปลุกเสกให้ครบถ้วนแล้วบรรจุลงในสีผึ้งสาลิกาเป็นอันเสร็จ สาริกาหลงรังนี้มีอาถรรพ์ทางเสน่ห์โดยเฉพาะ ทำเป็นสาริกาทั้งตัวผู้และตัวเมีย อยู่ด้วยกัน เป็นความหมายของสัมพันธ์ การครองเรือน การผูกใจคู่ครอง
ตะกรุดสาริกา ใช้ลงแผ่นทองและเงิน ม้วนเป็นตะกรุดใส่ในสีผึ้งสาลิกา แผ่นตะกรุดจะลงอักขระตัว "นะ" ลงไป แล้วจึงม้วนเข้าปลุกเสกใส่ในสีผึ้งสาลิกา
ที่ได้บูชามาเป็นงาช้างแกะเป็นสาลิกา สำหรับตัวงาช้างนั้น ก็ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว พวกเขี้ยวพวกงา จะเป็นทางเหนียว คงกระพัน นำมาทำเป็นสาลิกา จะเน้นไปทาง เมตตามหานิยม เรื่องค้าขายการติดต่อเจรจา
สาริกาลิ้นทอง คือ ตัวยันต์ประเภทหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในหมู่พระเกจิชื่อดัง มีพระพุทธคุณทางด้าน เมตตา มหาเสน่ห์ ลงได้ทั้งวัตถุมงคลและเครื่องราง และยังสามารถลงที่บริเวณปลายลิ้นได้อีกด้วย โดยการนำแผ่นทองที่จารึกอักขระสาริกาลิ้นทอง นำไปลงบริเวณปลายลิ้น ผู้ที่ได้รับการลงสาลิกาลิ้นทอง แล้วนั้นจะเป็นดั่งผู้มีวาจาไพเราะเสนาะหู ใครได้ยินก็หลงไหลในวาจา จึงเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักเจรจาธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนทั่วไป
สาริกาป้อนเหยื่อ วิชานี้เป็นวิชาโบราณ ใช้ในแง่การเจรจาเกี่ยวกับเพศตรงข้ามเชื่อฟัง และทำตามเรา รักเราหลงเรา และยอมเราทุกอย่าง และมีเสน่ห์ในคำพูดกับเพศตรงข้าม วิชานี้ จะมีการลงอักขระที่หน้าอกผู้หญิง ปลุกเสกด้วยคาถาอาคมวิชาสาริกา และเสกด้วยคาถาอาคมลงในยันต์ แผ่นเงินจารมือใส่ด้วยด้ายพรหมจรรย์ และม้วนให้กับปาก เมื่อให้ไปแล้วก็หันหลังกลับไปเลยอย่าได้หันกลับมา วิชานี้ได้แต่ผู้หญิงอย่างเดียวผู้ชายหมดสิทธิ์
สาริกา พยาเทครัว วิชาเมตตาในการพูดจา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีคนเชื่อฟัง รักและลุ่มหลง มีเมียหลายคน และทุกคนจะเชื่อฟัง อยู่ด้วยกันได้ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไปทางไหนก็จะมีแต่คนติดคนลุ่มหลง
สาริกา พยาหลงรัง วิชานี้จะทำให้คนอื่นที่ได้พูดคุย ลุ่มหลงเสียง คำพูด และไม่อยากไปไหนอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา เปรียบเสมือนคนหลงทางกลับบ้านไม่ถูก
สาริกาอ้อม เหมือนวิชา สาริกา พยาหลงรัง แต่ใช้คาถาคนละบท แต่ว่าสองวิชานี้ต้องลงพร้อมกัน จึงจะเกิดผลเต็มร้อย
สาริกามโหสถ วิชานี้ใช้ในการสนทนา ถ้าได้ยินเสียงแล้วจะชอบ หลงไหล ไพเราะ เสนาะหู เคลิบเคลิ้ม มีความสุขฟังแล้วอยากฟังอีก
นาคเกี้ยว
นาคเกี้ยว ในตำนานที่เล่าขานว่าเป็นเรื่องจริงมีคติความเชื่อสืบทอดมากันมายาวนาน หากใครอยากมีความรักและเขาก็รักเราผูกจิตให้รัก ผูกใจให้คิดถึงคะนึงหามิรู้ลืม รักใคร่กลมเกลียวกันเมตตารักสมัครสมาน สมหวังเรื่องรักกอดคอ รักกันจนวันตาย ชายหญิงใดที่อับคู่ชู้ชื่น จะบันดาลให้เจอเนื้อคู่ เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องรางที่แสดงถึงความรัก ความผูกพันโดยตรง
พญานาคนั้น เป็นผู้ที่เข้าถึงทรัพย์ในดินสินในน้ำ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มีความเป็นเลิศในด้านโชคลาภ ส่วนนาคเกี้ยว เด่นในทางเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์อย่างเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ชนิดพญาเทครัวและดึงดูดโภคทรัพย์
อีกทั้งแคล้วคลาดปลอดภัย การขดของพญานาคน
ราคาปัจจุบัน
250
จำนวนผู้เข้าชม
795 ครั้ง
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
เจนพระเครือง
ชื่อร้าน
บารมีบุญพระเครื่อง
URL
http://www.baramebun.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0910162844
ID LINE
rit3009
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 008-8-93615-9
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี